ทนายความ ทนาย สำนักงานทนายความ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาทนายความ ว่าจ้างทนายความ

ผู้จัดการมรดก

                                                                                                    ผู้จัดการมรดก

-ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1713 บัญญัติว่า "ทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการจะร้องต่อศาลขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกก็ได้ ดังต่อไปนี้ (1) เมื่อเจ้ามรดกตายทายาทโดยธรรมหรือผู้รับพินัยกรรมได้สูญหายไป หรืออยู่นอกราชอาณาเขต หรือเป็นผู้เยาว์ (2) เมื่อผู้จัดการมรดกหรือทายาทไม่สามารถหรือไม่เต็มใจที่จะจัดการ หรือมีเหตุขัดข้องในการจัดการ หรือในการแบ่งปันมรดก (3) เมื่อข้อกำหนดพินัยกรรมซึ่งตั้งผู้จัดการมรดกไว้ ไม่มีผลบังคับได้ด้วยประการใดๆ

    การตั้งผู้จัดการมรดกนั้นถ้ามีข้อกำหนดพินัยกรรมก็ให้ศาลตั้งตามข้อกำหนดพินัยกรรม และถ้าไม่มีข้อกำหนดพินัยกรรมก็ให้ศาลตั้งเพื่อประโยชน์แก่กองมรดกตามพฤติการณ์ และโดยคำนึงถึงเจตนาของเจ้ามรดก แล้วแต่ศาลจะเห็นสมควร"

1.ผู้จัดการมรดกโดยพินัยกรรม

2.ผู้จัดการมรดกโดยคำสั่งศาล ม.1711

-การตั้งผู้จัดการมรดกต้องมีเหตุจำเป็นตามมาตรา 1713 (1)(2)หรือ(3) ถ้าไม่มีเหตุใดเหตุหนึ่งดังกล่าว ก็ไม่จำต้องตั้งผู้จัดการมรดก

-การตั้งผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาล ศาลอาจตั้งบุคคลเดียวหรือหลายคนให้เป็นผู้จัดการมรดกร่วมกันได้  แม้เดิมศาลตั้งคนเดียว ต่อมาเห็นว่าไม่เป็นธรรม ศาลอาจตั้งผู้จัดการมรดกเพิ่มอีกได้

-ศาลย่อมใช้ดุลยพินิจคำนึงถึงความเหมาะสมเพื่อประโยชน์แห่งกองมรดก แม้ผู้ร้องจะไม่มีคุณสมบัติต้องห้าม ตามมาตรา 1718 ก็ตาม แต่ถ้าปรากฎว่า ผู้ร้องมีความขัดแย้งกับทายาทอื่น การเป็นผู้จัดการมรดกอาจเกิดความเสียหายได้ ศาลจะไม่ตั้งให้เป็นก็ได้ แม้จะไม่มีผู้คัดค้าน ศาลก็ยกคำร้องได้

.                                ผู้มีสิทธิร้องขอให้ตั้งผู้จัดการมรดก ม.1713 ได้แก่ 

1.ทายาท

2.ผู้มีส่วนได้เสีย 

3.พนักงานอัยการ

 

                               การจัดการมรดกกรณีมีผู้จัดการมรดกหลายคน

-ผู้จัดการมรดกต้องจัดการร่วมกัน เว้นแต่ ผู้จัดการมรดกบางคนไม่สามารถหรือไม่เต็มใจที่จะจัดการ ผู้จัดการมรดกที่เหลือจัดการร่วมกันต่อไปได้

-ผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาลตาย ต้องยื่นคำร้องต่อศาลขอให้เปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม และพิจารณามีคำสั่งใหม่ จึงจะจัดการต่อไปได้

-ศาลมีคำสั่งตั้งร่วมกัน ผู้จัดการมรดกต้องดำเนินการตาม ม.1726 โดยเอาการกระทำเสียงข้างมาก ถ้าเสียงเท่ากัน เมื่อผู้มีส่วนได้เสียร้องขอให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาด

                              คุณสมบัติต้องห้ามของผู้จัดการมรดก ม.1718

1.ผู้ซึ่งยังไม่บรรลุนิติภวะ

2.บุคคลวิกลจริต หรือบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นผู้เสมือนไร้ความสามารถ

3.บุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลาย

-นิติบุคคลที่เป็นผู้รับทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมก็เป็นผู้จัดการมรดกได้

-พินัยกรรมระบุสถานสงเคราะห์มิได้เป็นนิติบุคคล ถือว่าแต่งตั้งบุคคลธรรมดา คือ ผู้ปกครองสถานสงเคราะห์นั้น

-คนต่างด้าวก็เป็นผู้จัดการมรดกได้

                              อำนาจหน้าที่ของผู้จัดการมรดก ม.1716,1719

-เริ่มแต่วันที่ได้ฟังหรือถือว่าได้ฟังคำสั่งศาลแล้ว

-ทายาทฟ้องเรียกคืนได้โดยอาศัยอำนาจกรรมสิทธิ์ตามมาตรา 1336

-ผู้จัดการมรดก กับ ทายาท ต้องฟ้องเป็นคดีใหม่ กรณีแบ่งมรดก

-ฎ.431/2560 โจทก์ผู้เดียวเป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาล โจทก์จึงมีหน้าที่และอำนาจในการจัดการมรดก ตามที่ ป.พ.พ.บรรพ 6 ลักษณะ 4 บัญญัติไว้ การที่โจทก์บรรยายฟ้องและนำสืบข้อเท็จจริงแต่เพียงว่า โจทก์ไม่สามารถจัดการมรดกในส่วนที่ดินมีโฉนดได้เพราะทายาทไม่ให้ความร่วมมือ ไม่เข้าร่วมประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นร่วมกันในการจัดการและแบ่งปันทรัพย์มรดกแม้จะเป็นจริงดังโจทก์กล่าวอ้างโจทก์ก็มีอำนาจและจัดการมรดกไปได้โดยไม่ต้องจัดประชุม เพราะอาจมีทายาทไม่เห็นด้วยไม่เข้าประชุมอันจะทำให้การจัดการมรดกติดขัดหรือหยุดชะงักลงได้ทำให้เสียหายกับการจัดการและแบ่งปันทรัพย์มรดกได้ ข้อเท็จจริงที่โจทก์อ้างว่าทายาทไม่เข้าร่วมประชุม ยังไม่อาจรับฟังถึงขนาดว่าทายาททั้งห้าซึ่งเป็นทายาทร่วมกับโจทก์ ขัดขวางหรือโต้แย้งสิทธิในการทำหน้าเป็นผู้จัดการมรดกของโจทก์จนไม่สามารถจัดการมรดกได้ โจทก์ไม่ถูกโต้แย้งสิทธิ จึงยังไม่มีอำนาจฟ้อง

                             ความรับผิดของผู้จัดการมรดก ม.1720

-ผู้จัดการมรดกทำหน้าที่แทนทายาท ต้องนำบทบัญญัติในเรื่องตัวแทนมาใช้บังคับ การที่ผู้จัดการมรดกครอบครองทรัพย์มรดกจึงเป็นการครอบครองแทนทายาทด้วย  ดังนั้น ผู้จัดการมรดกจะอ้างอายุความ ตามมาตรา 1754 มายันทายาทไม่ได้

-ผู้จัดการมรดกจะทำนิติกรรมที่เป็นปฎิปักษ์ต่อกองมรดกไม่ได้ ม.1722

-ทายาทต้องผูกพันต่อบุคคลภายนอกในกิจการที่ผู้จัดการมรดกได้ทำไปภายในขอบอำนาจในฐานะที่เป็นผู้จัดการมรดก ม.1724

-ฎ.432/2560 ข้อเท็จจริง ฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของเจ้ามรดก ไม่ใช่ทรัพย์สินของผู้ร้องสอดทั้งสามที่ได้รับการยกให้ก่อนเจ้ามรดกถึงแก่ความตาย ฉะนั้น จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของเจ้ามรดกได้ขอออกใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ นส3.ก และจดทะเบียนที่ดินพิพาทมาเป็นของตนเอง  แล้วโอนขายต่อไปยัง อ. ตั้งแต่ปี 2544 ที่ดินพิพาทจึงไม่เป็นทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกอีกต่อไป ผู้ร้องสอดแม้จะเป็นทายาทก็ไม่มีสิทธิใดๆในที่ดินพิพาทแล้ว เพราะย่อมต้องมีความผูกพันต่อบุคคลภายนอกในกิจการทั้งหลายอันผู้จัดการมรดกได้กระทำไปภายในขอบอำนาจในฐานะที่เป็นผู้จัดการมรดก ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1724 วรรคหนึ่ง 

                             การขอถอนผู้จัดการมรดก ม.1727

-ผู้มีส่วนได้เสียมีสิทธิร้องให้ศาลถอนผู้จัดการมรดกได้ ผู้จัดการมรดกละเลยไม่ทำตามหน้าที่ หรือ เพราะเหตุอย่างอื่นที่สมควร และต้องยื่นก่อนการปันผลมรดกเสร็จสิ้นลง

-ต้องร้องขอถอดถอนก่อนที่การปันทรัพย์มรดกเสร็จสิ้น ฎ.13399/2556

                            หน้าที่จัดทำบัญชีทรัพย์มรดก ม.1728-1731

-ผู้จัดการมรดกต้องลงมือจัดทำบัญชีทรัพย์มรดกภายใน 15 วัน นับแต่เจ้ามรดกตาย ถ้ารู้ถึงการแต่งตั้งตามพินัยกรรมที่มอบหมายไว้แก่ตน หรือ นับแต่วันที่เริ่มหน้าที่ผู้จัดการมรดกตามมาตรา 1716 ในกรณีที่ศาลตั้งเป็นผู้จัดการมรดก หรือ นับแต่วันที่ผู้จัดการมรดกเป็นผู้จัดการมรดกในกรณีอื่น

-ผู้จัดการมรดกต้องจัดทำบัญชีทรัพย์มรดกยื่นต่อศาลให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน ต่อหน้าพยานอย่างน้อย 2 คน ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียในกองมรดก

                            อายุความการจัดการมรดก ม.1733 วรรคสอง

-คดีจัดการมรดก (เป็นคดีที่ฟ้องผู้จัดการมรดกว่าจัดการมรดกโดยไม่ชอบ) นั้น มิให้ทายาทฟ้องเกินกว่า 5 ปี นับแต่การจัดการมรดกเสร็จสิ้นลง

-คดีฟ้องแบ่งทรัพย์มรดกแก่ทายาท ไม่ใช่คดีเกี่ยวกับการจัดการมรดก แต่เป็นคดีมรดก มีอายุความ 1 ปี

-คดีที่ทายาทฟ้องผู้จัดการมรดก อาจจะเป็นคดีมรดกหรือคดีจัดการมรดกก็ได้ ไม่ใช่เป็นคดีจัดการมรดกเสมอไป

                          ารจัดการมรดกถือว่าเสร็จสิ้นเมื่อใด

-ถ้าผู้จัดการมรดกได้รวบรวมทรัพย์มรดกเพื่อแบ่งปันให้ทายาท เมื่อยังไม่ได้แบ่งให้ทายาท การจัดการมรดกก็ยังไม่เสร็จสิ้น อายุความก็ยังไม่เริ่มนับ ฎ.5265/2539

                          การแบ่งปันทรัพย์มรดกระหว่างทายาท ม.1750

1.ทายาทต่างเข้าครอบครองทรัพย์สินเป็นส่วนสัด

2.โดยขายทรัพย์มรดกแล้วเอาเงินที่ขายมาแบ่งกันระหว่างทายาท

3.โดยทำสัญญามีหลักฐนเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด (ทำเป็นสัญญาหรือหนังสือ)

                          อายุความมรดก อายุความตามมาตรา 1754 

            (1) กรณีทายาทโดยธรรมฟ้องเรียกทรัพย์มรดก จะต้องฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่เจ้ามรดกตายหรือนับแต่ทายาทโดยธรรมได้รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดก เรียกว่า เป็นการฟ้องคดีมรดก

            (2) กรณีผูู้รับพินัยกรรมฟ้องเรียกตามข้อกำหนดพินัยกรรม จะต้องฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่ผู้รับพินัยกรรมรู้หรือควรได้รู้ ถึงสิทธิซึ่งตนมีอยู่ตามพินัยกรรม

            (3) กรณีเจ้าหนี้ของเจ้ามรดกฟ้องเรียกหนี้ ถ้าอายุความสิทธิเรียกร้องนั้นยาวกว่า 1 ปี เจ้าหนี้ต้องฟ้องภายใน 1 ปี

                         มรดก คืออะไรบ้าง

            ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย สิทธิหน้าที่ และ ความรับผิดต่างๆ (ทายาทไม่ต้องรับผิดเกินกว่าทรัพย์มรดกที่ตกทอดแก่ตน)
                         ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย 
      คือ ทรัพย์มรดกต้องเป็นทรัพย์สินที่เจ้ามรดกมีอยู่ก่อนหรือขณะตาย
-ทรัพย์สินที่ผู้ตายยกให้แก่ผู้ใดระหว่างมีชีวิตไม่เป็นมรดก (ฎ.583-584/2535)
-ดอกผลของทรัพย์มรดกที่เกิดขึ้นภายหลังเจ้ามรดกตาย ไม่เป็นมรดก (ฎ.8454/2544) *แม้ไม่เป็นทรัพย์มรดก ก็ถือว่าเป็นกรรมสิทธิ์รวมในระหว่างทายาทอยู่ดี
-สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี ไม่ใช่ทรัพย์มรดก (ฎ.3074/2541)
-คนต่างด่าว ได้ที่ดินมาโดยไม่ชอบ เมื่อตาย ก็ต้องถือว่าที่ดินนั้นเป็นทรัพย์มรดกของคนต่างด้าว (ฎ.5825/2539)
-เจ้ามรดกครอบครองปรปักษ์ที่ดินของผู้อื่นจนได้กรรมสิทธิ์ เป็นมรดก ตกทอดแก่ทายาท (ฎ.7487/2538)
-เงินประกันชีวิต เงินชดเชย เงินบำนาญตกทอด เงินบำเหน็จตกทอด เงินฌาปนกิจสงเคราะห์ ไม่เป็นมรดก
-เงินสะสม ที่หักจากเงินเดือนในขณะมีชีวิต เป็นมรดก
-สิทธิตามคำพิพากษา สิทธิในการฟ้อง เป็นมรดก
                           หน้าที่และความรับผิด 
       ตกทอดแก่ทายาทด้วย แต่ไม่ต้องรับผิดเกินกว่าที่ตนได้รับ)
-สัญญาก่อให้เกิดภาระจำยอมตกทอดแก่ทายาท (ฎ.2975/2553)
-ความรับผิดในฐานะผู้รับอาวัล เป็นมรดก ตกทอดแก่ทายาท (ฎ.8782/2556)
-เจ้ามรดกทำละเมิดก่อนตาย ตกทอดแก่ทายาท (ฎ.3240/2537)
                           สิทธิหน้าที่เฉพาะตัวของเจ้ามรดก ไม่เป็นมรดก
-การจัดการมรดกเป็นสิทธิเฉพาะตัว ไม่ตกทอดแก่ทายาท (ฎ.48/2519)
-การงานอาชีพ ซึ่งเป็นกิจการเฉพาะตัว ไม่เป็นมรดกตกทอด (ฎ.2026/2526)
-สิทธิขอให้ลงชื่อร่วมในเอกสาร เป็นสิทธิเฉพาะตัวของคู่สมรส ไม่เป็นมรดก (ฎ.3715-3716/2548)
-คำมั่นจะให้เช่าทรัพย์สิน ต่อจากสัญญาเช่าเดิม ไม่ตกทอดเป็นมรดก (ฎ.1602/2548)
-สัญญาเช่าทรัพย์ เป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้เช่า (ฎ.9201/2551)
-สัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา เป็นมรดก (ฎ.2526/2531)
-สิทธิตามสัญญาเช่าซื้อ เป็นมรดก (ฎ.8475/2540)
-สิทธิการเป็นหุ้นส่วน ในห้างหุ้นส่วนสามัญ เป็นสิทธิเฉพาะตัว ไม่เป็นมรดก (ฎ.191-2501)
-บริษัทจำกัด สิทธิในหุ้นเป็นสิทธิในทรัพย์สิน เป็น มรดก (ฎ.310/2510 ปชญ.)
-สิทธิอาศัย เป็นสิทธิเฉพาะตัว ไม่เป็นมรดก 
-สิทธิในการบังคับคดีแพ่ง เป็นมรดก (ฎ.365/2532)
-สิทธิได้ภาระจำยอม เป็นมรดก 
                          การกำจัดมิให้รับมรดก                                                                                                                                                
1.เป็นผู้ยักย้ายหรือปิดปังทรัพย์มรดก                                                                                                                                   
2.เป็นผู้ถูกกำจัดมิให้รับมรดกฐานเป็นผู้ไม่สมควร

-การยักย้ายหรือปิดปังทรัพย์มรดก ทายาทคนใดยักย้ายหรือปิดปังทรัพย์มรดกเท่าส่วนที่ตนจะได้หรือมากกว่านั้นโดยฉ้อฉล หรือรู้อยู่ว่าตนทำให้เสื่อมประโยชน์ของทายาทอื่นทายาทคนนั้นต้องถูกกำจัดมิให้ได้รับมรดกเลย แต่ถ้ายักย้ายหรือปิดปังทรัพย์มรดกน้อยกว่าส่วนที่ตนจะได้ก็ถูกกำจัดเฉพาะส่วนที่ตนได้ยักย้ายหรือปิดปังไว้นั้น

-ผู้สืบสิทธิของทายาท ไม่ถูกกำจัดมิให้รับมรดก

-การยื่นคำร้องครอบครองปรปักษ์มรดก อันเป็นเท็จ ถือว่าเป็นการยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดก (ฎ.478/2539)

-การยื่นคำร้องขอให้ศาลตั้งผู้จัดการมรดก ไม่ระบุชื่อทายาทให้ครบถ้วน ไม่ได้ระบุทรัพย์มรดกทั้งหมด ไม่ถือว่าเป็นการปิดบังทรัพย์มรดก (ฎ.13505/2553)

-การที่ทายาทหรือผู้จัดการมรดกไปขอรับโอนมรดกเป็นของตนเอง เพียงผู้เดียว โดยไม่มีการโอนทรัพย์มรดกต่อไป ไม่เป็นการยักย้ายหรือปิดปังมรดกโดยฉ้อฉล แต่ ถ้ามีการโอนต่อไปให้บุคคลอื่น เป็นการยักย้ายมรดกแล้ว (ฎ.3901/2554)

-การที่ทายาทคนหนึ่งไปขอรับโอนมรดกโดยไม่แจ้งว่ามีทายาทอื่นอีก หรือ ไม่แจ้งให้ทายาทอื่นทราบ ไม่เป็นการยักย้ายหรือปิดปังทรัพย์มรดก (ฎ.3250/2537)

-การขอออกโฉนดที่ดินมรดกโดยเปิดเผยและโอนทรัพย์มรดกให้บุตร โดยเข้าใจว่าเป็นสิทธิของตน ไม่เป็นการยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดก (ฎ.7203/2544)

-การที่ทายาทแจ้งแก่ทายาทอื่นว่า ผู้ตายได้โอนทรัพย์มรดกไปแล้วตอนมีชีวิตอยู่ ซึ่งไม่เป็นความจริง แล้วโอนมรดกเป็นของตนเอง เช่นนี้ เป็นการปิดบังทรัพย์มรดก (ฎ.2062/2492)

           การถูกกำจัดมิให้รับมรดกฐานเป็นผู้ไม่สมควร

1.ผู้ที่ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่าได้เจตนากระทำ หรือพยายามกระทำให้เจ้ามรดกหรือผู้มีสิทธิได้รับมรดกก่อนตนถึงแก่ความตายโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

2.ผู้ที่ฟ้องเจ้ามรดกหาว่าทำความผิดโทษประหารชีวิต และตนเองกลับต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่ามีความผิดฐานฟ้องเท็จหรือทำพยานเท็จ

3.ผู้ที่รู้ว่าเจ้ามรดกถูกฆ่าตายโดยเจตนา แต่มิได้ร้องเรียนเพื่อเอาผู้กระทำผิดมาลงโทษ เว้นแต่ผู้นั้นอายุไม่ครบ 16 ปีบริบูรณ์ หรือผู้วิกลจริตไม่สามารถรู้ผิดชอบ หรือถ้าผู้ที่ฆ่านั้นเป็นสามีภริยา หรือบุพการี หรือผู้สืบสันดานของตนโดยตรง

4.ผู้ที่ฉ้อฉลหรือข่มขู่ให้เจ้ามรดกทำ หรือ เพิกถอน หรือเปลี่ยนแปลงพินัยกรรมแต่บางส่วนหรือทั้งหมดซึ่งเกี่ยวกับทรัพย์มรดกหรือไม่ให้กระทำการดังกล่าวนั้น

5.ผู้ที่ปลอม ทำลาย หรือปิดบังพินัยกรรมแต่บางส่วนหรือทั้งหมด

เจ้ามรดกอาจถอนข้อจำกัดฐานเป็นผู้ไม่สมควรได้ โดยให้อภัยเป็นลายลักษณ์อักษร

           การถูกกำจัดมิให้รับมรดกสืบมรดกได้ (มาตรา 1607)

           การสืบมรดก กับ การรับมรดกแทนที่ กรณีทายาทถูกกำจัดมิให้รับมรดกก่อนเจ้ามรดกตาย ผู้สืบสันดานของทายาทที่ถูกกำจัดเข้ารับมรดกแทนที่ทายาทที่ถูกกำจัดได้ตามมาตรา 1639 สังเกตว่า ให้ผู้สืบสันดานรับมรดกแทนที่ได้เฉพาะกรณีทายาทถูกกำจัดก่อนเจ้ามรดกตายเท่านั้น ดังนั้น กรณีที่ถูกกำจัดมิให้รับมรดกภายหลังจากเจ้ามรดกตายจึงไม่อาจรับมรดกแทนที่ได้ แต่ในกรณีเช่นนี้ผู้สืบสันดานของทายาทผู้ถูกกำจัดเข้าสืบมรดกต่อไปได้เสมือนหนึ่งทายาทนั้นตายแล้ว ตามมาตรา 1607 (ฎ.478/2539)

พระภิกษุเป็นทายาท และพระภิกษุเป็นเจ้ามรดก

-พระภิกษุจะเรียกร้องเอาทรัพย์มรดกในฐานะทายาทโดยธรรมไม่ได้ เว้นแต่จะสึกจากสมณเพศ แต่เป็นผู้รับพินัยกรรมได้

-กรณีทายาทรับมรดกร่วมกันมาแล้ว แต่ยังไม่แบ่งแยกการครอบครอง ถือว่าไม่ใช่ทรัพย์มรดกอีกต่อไป แต่เป็นกรรมสิทธิ์รวม ดังนั้น พระภิกษุ มีสิทธิฟ้องเรียกแบ่งในฐานะเจ้าของรวมได้ ไม่ใช่ฟ้องเรียกทรัพย์มรดก (ฎ.470/2535)

-ทรัพย์สินที่พระภิกษุได้รับมาจากเจ้ามรดกขณะเจ้ามรดกมีชีวิตอยู่ ไม่เป็นทรัพย์มรดก พระภิกษุฟ้องขับไล่ผู้ที่อยู่ในทรัพย์นั้นได้ ไม่ใช่การฟ้องแบ่งมรดก (ฎ.5587/2543)

......ทรัพย์มรดกของพระภิกษุ = ทรัพย์สินที่พระภิกษุได้มาระหว่างสมณเพศ เมื่อพระภิกษุผู้นั้นถึงแก่มรณภาพ ให้ตกเป็นสมบัติของวัดที่เป็นภูมิลำเนาของพระภิกษุนั้น เว้นแต่พระภิกษุนั้นได้จำหน่ายไปในขณะมีชีวิตหรือโดยพินัยกรรม

บุตรนอกกฎหมาย และบุตรบุญธรรม

-บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้ว และบุตรบุญธรรมนั้น ให้ถือว่าเป็นผู้สืบสันดาน เหมือนบุตรชอบด้วยกฎหมาย มีสิทธิรับมรดกได้ แต่บิดา นอกกฎหมาย ไม่มีสิทธิรับมรดกของบุตรนอกกฎหมาย ของบุตรบุญธรรมด้วย เช่นกัน

-พฤติกาณ์ที่ถือได้ว่า รับรองบุตรแล้ว เช่น บิดาให้การศึกษา ให้ใช้นามสกุล ให้การอุปการะเลี้ยงดู ลงทะเบียนบ้านว่าเป็นบุตร บิดาไปแจ้งทะเบียนคนเกิดว่าเป็นบุตร บิดายอมให้บุตรเรียกว่าบิดา 

-การรับรองจะรับรองในขณะที่บุตรอยู่ในครรภ์ก็ได้ เช่น การจัดงานเลี้ยงฉลอง 

-บุตรนอกกฎหมาย ไม่มีสิทธิเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากผู้ที่ทำให้บิดาตาย

-บุตรนอกกฎหมาย มีหน้าที่จัดการศพ ค่าปลงศพ นั้นมีสิทธิเรียกเอาจากผู้กระทำละเมิดได้ และค่าสินไหมทดแทนอื่นอันเกิดจากการละเมิด เป็นสิทธิของเจ้ามรดก ตกทอดแก่ทายาท บุตรนอกกฎหมายเรียกได้เช่นกัน

-บุตรบุญธรรม จะรับมรดกแทนที่ ผู้รับบุตรบุญธรรมไม่ได้

การรับมรดกแทนที่ คือ กรณีทายาทโดยธรรม ลำดับที่ 1,3,4,6 ตายก่อนเจ้ามรดก  หรือ ถูกกำจัดก่อนเจ้ามรดกตาย  ผู้สืบสันดานของบุคคลดังกล่าวมีสิทธิรับมรดกแทนที่ได้

-ภริยา ไม่มีสิทธิ รับมรดกแทนที่สามี

-ผู้สืบสันดาน ต้องเป็นผู้สืบสันดานโดยตรงเท่านั้น คือ สายโลหิตแท้จริง ไม่ใช่บุตรบุญธรรม

ผู้มีอำนาจหน้าที่จัดการศพ 

ได้แก่ ผู้จัดการมรดกที่ผู้ตายตั้งไว้  ถ้าไม่มี ได้แก่บุคคลที่ได้รับทรัพย์มรดกมากที่สุด

-วัดซึ่งพระภิกษุมรณภาพ แม้จะได้รับทรัพย์มรดก ก็ไม่มีอำนาจหน้าที่จัดการศพเจ้ามรดก (ฎ.348/2527)

 

 
Visitors: 174,558
รับว่าความ ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาคดีความ